การพัฒนา ของ โอลาฟ (ดิสนีย์)

ต้นนกำเนิดและแนวคิด

ดิสนีย์สตูดิโอมีความพยายามที่จะนำเทพนิยาย ราชินีหิมะ ของ Hans Christian Andersen มาสร้างเป็นภาพยนตร์ตั้งแต่ปี 1943 เมื่อวอลต์ ดิสนีย์คิดจะสร้างภาพยนตร์ชีวประวัติของ Andersen[1] อย่างไรก็ตาม เนื้อเรื่องและตัวละครนั้นเป็นนามธรรมมากเกินไป[2][3] ซึ่งเป็นต้นเหตุของปัญหาต่าง ๆ ให้กับดิสนีย์และทีมผู้สร้างภาพเคลื่อนไหว ภายหลังจากนั้น ผู้บริหารของดิสนีย์ก็ยังมีความพยายามที่จะนำเรื่องราวจากบทประพันธ์มาถ่ายทอดเป็นภาพยนตร์อีกครั้ง แต่ความพยายามเหล่านี้ก็ต้องถูกชงักไว้เพราะปัญหาแบบเดียวกัน[1]

ในปี 2008 Chris Buck ได้เสนอเรื่องราวของราชินีหิมะในรูปแบบของเขาเองกับดิสนีย์[4] ชื่อ Anna and the Snow Queen ซึ่งได้มีการวางแผนให้สร้างเป็นภาพเคลื่อนไหวทั่วไป[5] แต่เรื่องราวนี้แตกต่างจาก ผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ อย่างสิ้นเชิง โดยที่บทประพันธ์นี้มีความใกล้เคียงกับเรื่องราชินีหิมะมากกว่า และมีตัวละครโอลาฟที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง[6]


อย่างไรก็ตามในต้นปี 2010 โครงการนี้ก็ได้หยุดไปอีกครั้ง[5][7] ในวันที่ 22 ธันวาคม 2011 ดิสนีย์ได้ตั้งชื่อใหม่ให้กับภาพยนตร์เรื่องนี้ว่าผจญภัยแดนคำสาปราชินีหิมะ ซึ่งในเวลาต่อมาจะได้ออกฉายในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2013 และยังได้เปลี่ยนทีมสร้างภาพยนตร์ใหม่อีกด้วย[8] บทอันใหม่นั้นมีแนวคิดเหมือนเดิม แต่มีการเขียนใหม่ทั้งหมด[5] ซึ่งเป็นการแก้ไขปัญหาที่มีมาอย่างยาวนานของบทประพันธ์ของ Andersen โดยถ่ายทอดความสัมพันธ์ของตัวละคร แอนนา และ เอลซ่า ในฐานะพี่น้อง[9]

การให้เสียง

Josh Gad ซึ่งเป็นนักแสดงที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีและมีชื่อเสียงในการแสดงบรอดเวย์เรื่อง The Book of Mormon[10] ได้เข้ารับเลือกในการพากย์เสียงของโอลาฟ[11][12][13] เขาได้กล่าวในภายหลังว่า การที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของภาพยนตร์ดิสนีย์นั้นเหมือนความฝันที่กลายเป็นจริงสำหรับเขา เนื่องจากเขาเองมีความคลั่งไคล้ในภาพยนตร์และการผลิตภาพเคลื่อนไหวของดิสนีย์อยู่แล้ว[14]

เขากล่าวว่า เขาเติบโตมาในยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองของภาพเคลื่อนไหวของดิสนีย์ครั้งที่สอง ในช่วงที่มีภาพยนตร์ทั้งหมดออกมายอดเยี่ยมหมดเลย ได้แก่ เงือกน้อยผจญภัย (The Little Mermaid) โฉมงามกับเจ้าชายอสูร (Beauty and the Beast) อะลาดินกับตะเกียงวิเศษ (Aladdin) เดอะ ไลอ้อน คิง (The Lion King)[10] ความประทับใจในตัวละครที่มีลักษณะนิสัยตลกอย่างทีโมนและพุมบ้าในเรื่อง เดอะ ไลอ้อน คิง หรือ จีนี่ในเรื่องอะลาดินกับตะเกียงวิเศษทำให้เขาอยากเล่นบทบาทประเภทนี้ตั้งแต่ช่วงหนุ่ม ๆ เขาจำได้ว่า เขาเคยพูดไว้ว่าอยากจะเล่นบทแบบนี้จริง ๆ สักวัน[14][10][15]


การออกแบบตัวละคร

บทความนี้อาจต้องการพิสูจน์อักษร ในด้านไวยากรณ์ รูปแบบการเขียน การเรียบเรียง คุณภาพ หรือการสะกด คุณสามารถช่วยพัฒนาบทความได้

จากการที่เป็นมนุษย์หิมะที่แอนนาและเอลซ่าได้ปั้นขึ้นมาด้วยกันในวัยเด็ก โอลาฟแสดงถึงความรักที่บริสุทธิ์และความสุขที่ทั้งสองพี่น้องเคยมีในวัยเยาว์ก่อนที่พวกเข้าจะแยกจากกัน โอลาฟไม่ได้เป็นตัวละครที่ตลกเท่านั้น แต่ยังมีบทบาทสำคัญในการเป็นตัวแทนความรักบริสุทธิ์ในความกลัวที่แฝงด้วยความรัก [16] ตัวละครตัวนี้ไม่ได้มีความสำคัญมากนัก จนกระทั่งมันมีความหมายกับสองพี่น้องคู่นี้[16] โอลาฟถูกสร้างขึ้นเพื่อที่จะผสานความสัมพันธ์ของสองพี่น้องที่หายไป[17] ในวัยเด็กของแอนนาและเอลซ่า ก่อนที่พลังของเอลซ่าจะทำร้ายแอนนา สองพี่น้องคู่นี้เล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน และมีการปั้นมนุษย์หิมะขึ้นมาโดยตั้งชื่อว่า โอลาฟ และ โอลาฟก็ชอบอ้อมกอดที่อบอุ่น จึงเป็นแรงบันดาลใจให้เกิดเป็นลักษณะของโอลาฟขึ้นมา และในช่วงของภาพพยนต์ที่เอลซ่าได้ร้องเพลง “Let it Go” ก็เป็นช่วงที่ทำให้เอลซ่าได้นึกถึงช่วงเวลาครั้งสุดท้ายที่ตัวเองมีความสุข และมันก็คือช่วงเวลาที่เอลซ่าได้ปั้นมนุษย์หิมะกับน้องสาวนั้นเอง และโอลาฟก็เป็นตัวแทนของความรักที่แสดงออกระหว่างความสัมพันธ์ของพี่น้องคู่ นี้นั่นเอง โอลาฟจะมีลักษณะนิสัยของแอนนาในวัยเด็กเนื่องจากที่โอลาฟมีชีวิตขึ้นมาได้ นั้นเป็นเพราะในขณะที่เอลซ่าใช้พลังสร้างโอลาฟขึ้นมา เธอได้นึกถึงคนที่เธอรักที่สุด นั่นก็คือแอนนานั่นเอง

ในช่วงเริ่มต้นของการผลิตภาพยนตร์ โอลาฟถูกเขียนบทขึ้นมาเพื่อให้เป็นหนึ่งในคนคุ้มกันปราสาทของเอลซ่า เพราะในเวลานั้น ยังมีแนวคิดที่จะให้เอลซ่ามีกองกำลังทหารมนุษย์หิมะที่กราดเกรี้ยวอยู่ในเรื่องอยู่[17][18] Buck ได้กล่าวถึงเอลซ่าไว้ว่า เธอพยายามที่จะเรียนรู้พลังของตัวเองซึ่งเขาได้เปรียบเทียบกับแพนเค้ก เมื่อแพนเค้กมีการไหม้เกิดขึ้นข้างล่างจนไม่สามารถทานได้ เราจึงต้องทิ้งมัน โอลาฟก็เปรียบเสมือนแพนเค้กชิ้นแรกของเอลซ่า[18] และเพื่อไม่เป็นการสร้างความซับซ้อนให้กับตัวละครนี้ ผู้กำกับจึงอยากให้ตัวละครตัวนี้คงความเป็นเด็กบริสุทธิ์ไว้[17] Jennifer Lee ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้กล่าวไว้ว่า เมื่อคุณเป็นเด็กรูปร่างแปลกๆต่างๆที่นำมาปั้นเป็นมนษย์หิมะจะไม่มีทางเพ อร์เฟค และนั่นจึงเป็นที่มาของความคิดที่ว่าเด็กๆจะนึกถึงมนุษย์หิมะในหน้าตาแบบไหน[17][18]

Gad เองก็ได้มีการปรับลักษณะของตัวละครโอลาฟเองในระหว่างทำการอัดเสียง และผู้กำกับเองก็พยายามที่จะระมัดระวังไม่ให้ตัวละครนี้ทำหน้าเป็นตัวละคร หลักในการดำเนินเรื่องมากเกินไป [18] โอลาฟถูกสร้างขึ้นมาในระดับนึงจนกระทั่งได้ Josh Gad มาพากษย์เสียงให้ และเสียงของ Gad แสดงให้เห็นถึงลักษณะพิเศษบางอย่างรวมถึงการมองโลกของเขา การแสดงในห้องอัดเสียงของ Gad ถูกบันทึกเป็นวีดิโอและผู้สร้างภาพเคลื่อนไหวได้นำเอาสีหน้า ท่าทางของเขาไปสร้างเป็นตัวละครเคลื่อนไหวขึ้นมา"[19] "It was a lot funnier than I expected, thanks largely to Josh Gad's surprisingly well-written deluded snowman character" (Del Vecho).[20] Gad's studio performance was videotaped, and animators used his facial expressions and physical moves as a reference for animating the character.[16]


ผู้สร้างภาพยนตร์ ได้มีการพัฒนาซอฟต์แวร์ใหม่ขึ้นมาชื่อว่า Spaces เพื่อที่จะสร้างโอลาฟขึ้นมาใหม่ในรูปแบบของภาพเคลื่อนไหว[21][22] Buck กล่าวว่า ความสนุกของตัวละครนี้คือการค้นพบว่าโอลาฟสามารถถูกแยกชิ้นส่วนของตัวเองออก มาได้และนั่นคือจุดเด่นของตัวละครนี้ โอลาฟเป็นตัวละครที่ผู้สร้างภาพเคลื่อนไหวมีความสนุกในขณะที่กำลังสร้าง[19] Del Vecho ให้ความเห็นว่า โอลาฟเป็นตัวละครที่สามารถโยนลงเขาในขณะที่ตัวแยกเป็นชิ้นๆในระหว่างที่ร่วง ลงมาแต่ยังสามารถมีชีวิตรอดและมีความสุขได้ [20]

สิ่งที่ขัดแย้งกันในตัวโอลาฟคือการเป็นมนุษย์หิมะที่มีความคิดในการรักฤดูร้อน[20]

แหล่งที่มา

WikiPedia: โอลาฟ (ดิสนีย์) http://metronews.ca/scene/869223/disneys-frozen-th... http://movies.about.com/od/directorinterviews/fl/F... http://www.awn.com/blogs/oscar-tour-travelogue/osc... http://www.broadway.com/buzz/170190/santino-fontan... http://collider.com/josh-gad-frozen-triplets-sam-k... http://www.fxguide.com/featured/the-tech-of-disney... http://geekmom.com/2013/10/disneys-frozen-director... http://www.geeksofdoom.com/2012/08/16/disney-in-de... http://www.hollywoodreporter.com/news/oscars-froze... http://www.huffingtonpost.com/jim-hill/josh-gad-fr...